Browsing by Subject "ผู้บริโภค -- กรุงเทพฯ -- ทัศนคติ"
Now showing 1 - 2 of 2
Results Per Page
Sort Options
- Publicationการประเมินมูลค่าความเต็มใจจ่ายเพื่อความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลการศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อประเมินมูลค่าความเต็มใจจ่ายเพื่อความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล โดยอาศัยเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ เทคนิคสมมติเหตุการณ์ให้ประเมินค่า (Contingent Valuation Method) และ (2) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความเต็มใจจ่ายเพื่อความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล โดยใช้แบบจำลอง Censored Regression Model เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ ซึ่งข้อมูลที่ใช้ในการศึกษามาจากการสำรวจข้อมูลปฐมภูมิด้วยแบบสอบถามออนไลน์ กลุ่มตัวอย่างของการศึกษา ได้แก่ ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และอาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวนทั้งสิ้น 549 ตัวอย่าง ผลการศึกษาพบว่า ค่าเฉลี่ยความเต็มใจจ่ายเพื่อความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล (Mean Willingness To Pay) ของกลุ่มตัวอย่างอยู่ที่ 2,390.66 บาทต่อคนต่อปี โดยเป็นความเต็มใจจ่ายเพื่อสนับสนุนการพัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์และระบบการบริหารจัดการให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูง เพื่อให้ข้อมูลส่วนบุคคลถูกเก็บรักษาไว้อย่างปลอดภัย ไม่ถูกโจรกรรมหรือส่งต่อ และไม่ถูกละเมิดความเป็นส่วนตัว ให้เกิดความเสียหายหรือความรำคาญใจจากการวิเคราะห์สมการถดถอยแบบจำลอง Censored Regression Model พบว่า อายุ สถานภาพสมรส จำนวนสมาชิกในครัวเรือน ระดับการศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน รายจ่ายค่าบริการด้านการติดต่อสื่อสาร ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล ประสบการณ์การถูกละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล การให้ความสำคัญกับข้อมูลสำคัญประจำตัวประชาชน การให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูลส่วนบุคคล การรับรู้ความเสี่ยงจากการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล และราคาที่เสนอครั้งแรก มีความสัมพันธ์กับความเต็มใจจ่ายเพื่อความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลในทิศทางเดียวกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
96 2352 - Publicationทัศนคติของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานครต่อแบรนด์ที่ใช้บุคคลมีรอยสักในสื่อโฆษณาการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาลักษณะทางประชากรศาสตร์ของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานครที่ส่งผลต่อทัศนคติต่อแบรนด์ที่ใช้บุคคลมีรอยสักในสื่อโฆษณา 2) เพื่อศึกษาทัศนคคติของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานครที่มีต่อแบรนด์ที่ใช้บุคคลมีรอยสักในสื่อโฆษณา การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed methods research) ทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative research) เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบสอบถาม และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research ) ใช้การสนทนากลุ่ม (Focus Group) กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 8 คน และสัมภาษณ์นักวิชาการ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัย จำนวน 5 คน และบล็อกเกอร์ (Blogger) ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด จำนวน 1 คน ผลการวิจัยพบว่า 1) ด้านประชากรศาสตร์ เพศต่างกันส่งผลต่อทัศนคติของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานครต่อแบรนด์ที่ใช้บุคคลมีรอยสักในสื่อโฆษณาต่างกัน ความแตกต่างด้านอื่นๆ ไม่ส่งผลต่อทัศนคติของผู้บริโภค 2) ทัศนคติทั้ง 3 ด้านได้แก่ ทัศนคติด้านความรู้สึกพบว่า การใช้บุคคลมีรอยสักในสื่อโฆษณาสามารถกระตุ้นให้เกิดความอยากรู้ อยากลองใช้แบรนด์สินค้าและบริการมากที่สุด ทัศนคติด้านความรู้ความเข้าใจพบว่า การใช้บุคคลมีรอยสักในสื่อโฆษณาสามารถสร้างความเข้าใจเรื่องการเปิดกว้างทางความคิด ความเป็นสากลของแบรนด์มากที่สุด ทัศนคติด้านพฤติกรรมพบว่า การใช้บุคคลมีรอยสักในสื่อโฆษณาสามารถสร้างความภักดีในแบรนด์และการซื้อซ้ำได้มากที่สุด นอกจากนั้นผลการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ พบว่าความรู้สึกส่วนใหญ่มักมองข้ามเรื่องรอยสัก ซึ่งถือว่าเป็นความชอบส่วนบุคคล รอยสักของบุคคลในสื่อโฆษณามีผลในเชิงความรู้สึกที่ผู้บริโภคมีต่อแบรนด์ สามารถสร้างจุดสนใจให้กับแบรนด์สินค้าและบริการ และช่วยให้เกิดการตัดสินใจซื้อด้วยรอยสักของบุคคลในสื่อโฆษณายังกระตุ้นให้เกิดความต้องการสัก เลียนแบบบุคคลในสื่อโฆษณาอีกด้วยและผลการสัมภาษณ์นักวิชาการ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยและบล็อกเกอร์ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดเพิ่มเติม พบว่า การนำบุคคลที่มีรอยสักมาใช้ในสื่อโฆษณาจะส่งผลต่อแบรนด์ตามวัตถุประสงค์ของแบรนด์ สินค้าบางชนิดอาจต้องอาศัยคนมีรอยสักเป็นตัวช่วยทำให้ผู้บริโภคมีความเข้าใจเกี่ยวกับเจตนาของสื่อโฆษณามากขึ้น เพื่อสร้างความเข้าใจในตัวสินค้าและบริการให้ชัดเจนตามความสอดคล้องระหว่างรูปแบบเนื้อหาของสื่อโฆษณา บุคคลในสื่อโฆษณากับแบรนด์ เนื่องจากรอยสักไม่ต่างจากเครื่องประดับ เสื้อผ้า ของบุคคลในสื่อโฆษณา
76 382